สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างในพระบรมราชูปถัมภ์มีหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ขอความช่วยเหลือ กรณีราคาเหล็กซึ่งเป็นโครงสร้างหลัก
ในการก่อสร้างปรับตัวสูงกว่า80% นับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มโครงการภาครัฐ หากไม่ได้รับการแก้ไขอาจทำให้ งานล้าช้าไปจนถึงการทิ้งงานเกิดความ
เสียหายทางเศรษฐกิจตามมา สำหรับข้อเรียกร้อง เอกชนเสนอขอปรับค่าK หรือดัชชีการเปลี่ยนแปลงค่างานให้สะท้อนราคาที่แท้จริงของตลาดในปัจจุบัน ยังรวมถึง
ราคากลาง ที่กรมบัญชีกลางกระทรวงการคลังรับปากว่าจะพิจารณาปรับให้ ทั้งนี้ทางด้าน นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) กล่าวว่า ตามที่
นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 เม.ย.64
ให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ดูแลปัญหาราคาเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เพื่อลดบรรเทาและผลกระทบต่อต้นทุนการประกอบการอุตสาหกรรม
ที่มีเหล็กเป็นวัตถุดิบหลัก เพื่อไม่ให้กระทบทั้งอุตสาหกรรมหลัก และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการจ้างแรงงานต่อไปนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม
และกระทรวงพาณิชย์จึงได้ประชุมหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งผู้ประกอบการทั้งกลุ่มผู้ใช้ และกลุ่มผู้ผลิตเหล็ก เพื่อหาทางแก้ไขผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์
ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
โดยมีข้อสรุปร่วมกันเรื่องการแก้ปัญหาราคาที่กระทบต้นทุนของผู้ใช้เหล็กเป็นหลัก คือ กลุ่มก่อสร้างที่เสนองานกับหน่วยงานภาครัฐจะมีการพิจารณาทบทวนตัวเลขค่า K
หรือ ดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างานของงานโครงการภาครัฐระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ทั้งในด้านการสืบราคาจำหน่าย
และการกำหนดค่า K ให้สะท้อนกับราคาในตลาดยิ่งขึ้น รวมทั้งจัดทำ Business Matching ระหว่างผู้ผลิต และผู้ใช้เหล็กเพื่อวางแผนการใช้และการผลิตร่วมกัน
และขอความร่วมมือผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเหล็กตรึงราคาและจำหน่ายสินค้าเหล็กในราคาที่สอดคล้องต้นทุนที่แท้จริง โดยกรมการค้าภายในจะติดตามสถานการณ์ต้นทุน
การนำเข้าและราคาจำหน่ายอย่างใกล้ชิด
อุตสาหกรรมเหล็กเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่อยู่ในแผนการพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ตามนโยบาย BCG Economy ของรัฐบาล
ตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green: BCG Economy) ในส่วนของกระทรวง
อุตสาหกรรมได้มอบหมาย 4 หน่วยงานหลัก ทั้ง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
และกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ให้เข้าไปดูแลผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กอย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับหน่วยงานกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็ก
เร่งพัฒนาประสิทธิภาพโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ ตลอดจนใช้ทรัพยากรอย่างมี
ประสิทธิภาพ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“ผู้ผลิตเหล็ก โดยสมาคมเหล็กฯ ยืนยันว่า จากสถานการณ์การผลิตและจำหน่ายเหล็กในประเทศไทยปัจจุบันมีการผลิตประมาณร้อยละ 30 ของกำลังการผลิตที่สามารถ
ผลิตได้ ปัญหาการขาดแคลนสินค้าเหล็กในประเทศไทยจะไม่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีความต้องการใช้เพิ่มเติมจากกลุ่มผู้บริโภคที่หันกลับมาใช้สินค้าเหล็กในประเทศแทน
เพื่อลดการนำเข้า
สำหรับดัชนีอุตสาหกรรมเหล็ก และเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน ของเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.19 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
จากเหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กเคลือบสังกะสี เหล็กลวด เหล็กรูปพรรณรีดร้อนและเหล็กเส้นกลม เป็นหลัก โดยได้รับอานิสงส์จากปริมาณเหล็กในตลาดโลกลดลง
และเป็นช่วงที่สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้น ความต้องการใช้เหล็กของโลกจึงปรับตัวสูงขึ้นไปด้วยทำให้ราคาเหล็กโลกปรับตัวสูงขึ้น
ตามกลไกของตลาดโลก”
แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ