19 พฤษภาคม 2021
21 พฤษภาคม 2021

เหล็กจีนแพง 200% สะเทือนไทย-สะท้านโลก

Update : 19 พฤษภาคม 2564

 

 

เศรษฐกิจจีนโงหัวแล้ว ดันความต้องการใช้เหล็กพุ่ง ส่งผลให้ราคาโลกขยับกว่า 200% อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยรับเคราะห์แบกต้นทุนอ่วม กลุ่มอุตฯเหล็กฟันธง
ราคาสูงต่อเนื่องอย่างน้อยถึงไตรมาส 3 อุตฯรถยนต์ผวาปัจจัยซํ้าเติมจากชิปขาด ลุ้นระทึกเป้าผลิต 1.5 ล้านคัน

จากการที่ เศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็น ประเทศผู้ผลิตและใช้สินค้าเหล็กเกินครึ่งหนึ่งของโลก ได้ฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2563 หลังปัญหาโรคโควิด-19 ได้คลี่คลายลง
โดยจีนได้อัดเม็ดเงินในโครงการก่อสร้างภาครัฐจำนวนมหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้มี ความต้องการใช้เหล็กเพิ่มมากขึ้น ในโครงการก่อสร้างและในอุตสาหกรรม
การผลิตรถยนต์

ขณะเดียวกัน ผลพวงจากการที่รัฐบาลจีนได้สั่งให้โรงงานเหล็กในจีนที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งมีอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานเหล็กในนครถังซาน
ซึ่งเป็นเมืองหลวงอุตสาหกรรมเหล็กของจีนได้ปิดโรงงานบางส่วนลงชั่วคราวเร็วขึ้น จากปกติปิดช่วงฤดูหนาว ขยับมาปิดในช่วงเดือนมีนาคมถึงมิถุนายนเพื่อลดมลภาวะ
ทางอากาศ ทำให้ กำลังผลิตเหล็กของจีนหายไป กว่า 40 ล้านตัน และรัฐบาลจีนยังได้ประกาศยกเลิกการให้คืนภาษี (Rebate Tax) 13% สำหรับสินค้าเหล็กส่งออก
มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2564 เพื่อสงวนเหล็กไว้ใช้ในประเทศนั้น

นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้จีน
มีเหล็กไม่เพียงพอใช้ในประเทศ ต้องมีการนำเข้า และมีสินค้าส่งมาทุ่มตลาดต่างประเทศลดลง โดยในปี 2563 จีนมีการนำเข้าสินค้าเหล็กจากต่างประเทศ 18.3 ล้านตัน
เพิ่มขึ้น 6 เท่าจากปี 2562 และในไตรมาสแรกปีนี้จีนมีความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นถึง 52% (จีนใช้เหล็กปีหนึ่ง 800-900 ล้านตัน) โดย สินค้าเหล็กที่จีนนำเข้ามากสุด
3 อันดับแรกได้แก่
• เหล็กแผ่นรีดร้อน
• เหล็กแผ่นรีดเย็น
• เหล็กแผ่นเคลือบ
ทำให้ สินค้าเหล็กดังกล่าวที่จีนแย่งซื้อในตลาดโลกเกิดการขาดแคลนและราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง

นอกจากนี้ จีนยังกว้านซื้อเหล็กวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตเพื่อเพิ่มกำลังผลิต ได้แก่ เศษเหล็ก เหล็กแท่งเล็ก (Billet) และเหล็กแท่งแบน(Slab) จากทั่วโลก ส่งผลให้
ช่วง 1 ปีที่ผ่านมาราคาเหล็กในจีนซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงราคาเหล็กของโลกได้ปรับขึ้นมาแล้วเฉลี่ย 2.3-2.4 เท่า (230-240%)

“เวลานี้ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ในเอเชียทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม อินโดนีเซีย ถ้ามีกำลังผลิตเหลือจะส่งออกไปจีนเป็นอันดับแรกเพราะได้ราคาดี หากผู้นำเข้า
ของไทยอยากได้สินค้าก็ต้องยอมจ่ายในราคาที่จีนจ่าย ขณะที่ไทยส่งออกเหล็กไปจีนน้อยมาก เพราะเรื่องต้นทุนในการแข่งขันและไม่มีกำลังการผลิตที่ล้นเหลือ
รวมถึงต้องป้อนสินค้าให้กับลูกค้าในประเทศเป็นลำดับแรกก่อน ขณะเดียวกันยังประสบความยากลำบากในการหาซื้อวัตถุดิบจากที่เคยซื้อเศษเหล็กจากสหรัฐฯเป็นหลัก
เข้ามาหลอม แต่เวลานี้ เศษเหล็กสหรัฐฯแพงสุดในโลก(แพงกว่าจีน 50%) เราเลยต้องหันมานำเข้าจากในเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย หรือจากประเทศด้อยพัฒนา
ถึงจะได้เหล็กในราคาที่พอแย่งได้”

นายนาวา กล่าวอีกว่า ราคาเหล็กโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ยังเป็นผลจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ฟื้นตัว ทำให้มีการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ รวมถึงเศรษฐกิจ
ในสหรัฐฯและยุโรปที่ฟื้นตัวทำให้มีความต้องการใช้เหล็กในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาเหล็กในไทยขยับตาม จากในแต่ละปีไทยมีความต้องการใช้เหล็ก
ทุกชนิด 16-17 ล้านตัน ผลิตได้ในประเทศ 6-7 ล้านตัน และต้องนำเข้า 10-11 ล้านตัน ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นหลัก ทำให้ราคาต้องปรับขึ้น
ตามกลไกตลาดโลก

“ราคาเหล็กจีนที่ขยับขึ้น ปกติเราจะขยับตามประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งจะกระทบต่อเนื่องถึงอุตสาหกรรมก่อสร้างในไทย ส่วนตัวคาดราคาเหล็กจะยังสูงขึ้นต่อเนื่องไปถึง
ไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยราคาสินค้าเหล็กในล็อตใหม่ ผู้ใช้คงต้องจ่ายในราคาตามต้นทุนที่ขยับสูงขึ้น”


ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. กล่าวว่า ราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นจะกระทบกับอุตสาหกรรมรถยนต์
ที่กำลังฟื้นตัว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้เหล็กมากรองจากภาคก่อสร้าง เพื่อใช้ในการผลิตตัวถังรถ ระบบเครื่องยนต์ กระทะล้อ ถังนํ้ามัน และอื่นๆ โรงงานผู้ผลิตคงยังไม่ใช้
เป็นเหตุผลในการปรับราคารถยนต์ในขณะนี้ ทางกลุ่มอยู่ระหว่างการติดตามข้อมูลว่าราคาเหล็กปรับขึ้นมากน้อยเพียงใด มีผลต่อต้นทุนแค่ไหน ถือเป็นปัจจัยซํ้าเติม
จากที่เวลานี้อุตสาหกรรมรถยนต์ขาดแคลนชิป เพื่อใช้ในระบบเซ็นเซอร์ หน้าปัด สัญญาณเตือนภัย และอื่นๆ โดยที่ยังลุ้นเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในปีนี้ที่ 1.5 ล้านคัน
จากผลิตปีที่แล้ว 1.43 ล้านคัน




แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ